Firewall คืออะไร ใช้ทำอะไร ป้องกันอะไรได้บ้าง
17 ตุลาคม 2022
หากเคยติดตามข่าวสารเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไอที คงจะเคยได้ยินคำว่า Firewall มาแล้วบ้าง เนื่องจากเป็นอุปกรณ์อันดับต้น ๆ ที่ใช้ในการป้องกันภัยคุกคามในการใช้งานอินเทอร์เน็ต และเป็นอุปกรณ์ที่ทุกบริษัทจำเป็นต้องมี ในบทความนี้จะแนะนำว่า Firewall คืออะไร มีกี่ประเภทอะไรบ้าง
Firewall คืออะไร ใช้ทำอะไร
Firewall เป็นซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ตรวจสอบแพ็คเกจที่ผ่านเข้า-ออกระบบเครือข่าย คัดกรองข้อมูลที่เข้ามาว่าเป็นข้อมูลอะไร มาจากที่ไหนและจะส่งไปที่ใด เพื่อเป็นการป้องกันว่าข้อมูลที่จะส่งผ่านเข้ามานั้นมีความปลอดภัยหรือไม่ ด้วยการตั้งกฎ (Rule) หรือนโยบาย (Policy) ของผู้ดูแลระบบ หากแพ็คเกจไม่ตรงตามกฏที่ตั้งไว้แม้เพียงข้อเดียว Firewall ก็จะไม่ให้ผ่าน Firewall เข้าไปได้
ทำไมต้องติดตั้ง Firewall
เดิมการใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ จะเป็นการใช้งานส่วนบุคคล ดังนั้น ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้งานจึงมีไม่มากนัก ต่อมาเมื่อมีการใช้งานระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ทุกองค์กร ทุกธุรกิจมีการนำอินเตอร์เน็ตมาใช้ในการติดต่อสื่อสาร และ ดำเนินธุรกิจ ดังนั้น ผลพวงที่ตามมาคือ อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดี หรือแฮกเกอร์ หาวิธีเข้ามาขโมยข้อมูล หรือ ทดสอบความสามารถของตนเอง ตลอดจนยังมีไวรัสคอมพิวเตอร์ ก็ได้อาศัยช่องทางของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นช่องทางในการแพร่กระจายไวรัสด้วยเช่นกัน การติดตั้ง Firewall ก็จะช่วยคัดกรองภัยคุกคามดังกล่าว ไม่ให้เข้ามาในเครือข่ายได้นั่นเอง
Firewall มีกี่ชนิด แต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
ในปัจจุบัน Firewall มีทั้งหมด 2 ชนิด แบ่งเป็น Hardware Firewall กับ Software Firewall ดังนี้
1.Hardware Firewall
เป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเป็น Hardware ในลักษณะเฉพาะ จึงทำให้มีความเสถียร ปลอดภัยและ มีความเร็วในการทำงานสูง และยังยากต่อการเจาะเข้าระบบ ยกเว้นแต่แฮกเกอร์จะพัฒนาวิธีการในการเจาะระบบที่เฉพาะอุปกรณ์ Hardware นั้น ๆ โดยที่ Hardware Firewall จะวางกั้นระหว่าง เครือข่ายภายใน ก่อนออกสู่ภายนอก โดยมีข้อดีหลักของ Hardware Firewall ดังนี้
- ปกป้องเครือข่ายแบบรวมศูนย์
- เนื่องจากไม่แชร์ Hardware กับใครจึงมีช่องโหว่ให้โจมตีน้อยกว่า
- เร็วกว่า ทำให้ลดเวลาในการประมวลผลแพ็คเกจลง
- รับ Bandwidth ได้สูง
- กรองแพ็คเกจด้วยการตั้ง Rule ที่ตั้งมาจากผู้ผลิต
- เพราะเป็น Hardware แยกต่างหาก ทำให้ไม่ต้องใ ช้ทรัพยากรร่วมกับ Server ต่าง ๆ
- สามารถทำ VPN ในกรณีที่ต้องการการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยมากขึ้น
Hardware Firewall มีทั้งหมด 5 ประเภท ดังนี้
- Packet Filtering Firewall : เป็น Firewall ที่จะทำการตรวจสอบแพ็คเกจ (กลุ่มข้อมูล) ว่าตรงกับเงื่อนไขหรือเกณฑ์ที่ผู้ดูแลระบบกำหนดไว้หรือไม่
ถ้าผ่านเกณฑ์ทั้งหมด = ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือข้อมูลก็จะถูกส่งออกไปหรือรับเข้ามาในเครือข่าย
ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ = ข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ข้อมูลก็จะถูกปฎิเสธการนำเข้าหรือส่งออก
ข้อดี : ประสิทธิภาพในการประมวลผลแพ็คเกจ
ข้อเสีย : มีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
- Circuit-level Gateway : เป็น Firewall ที่ใช้ตรวจสอบเส้นทางการเชื่อมต่อของเครือข่าย โดยสร้างแบบจำลองโครงข่ายการเชื่อมต่อขึ้น เพื่อพิจารณาความน่าเชื่อถือของเครือข่ายที่เชื่อมต่อเข้ามา โดย Firewall ประเภทนี้จะไม่สามารถตรวจสอบ Packet ด้วยตนเองได้ แต่การตรวจสอบ Packet จะทำงานบน Transport Layer ใน OSI Model
ข้อดี : การรับส่งและประมวลผลข้อมูลดีกว่า Application-level Gateway
ข้อเสีย : ไม่สามารถกรองเนื้อหา Packet ที่เข้ามาได้
- Stateful Inspection Firewall : เป็น Firewall ที่ใช้ตรวจสอบ Packet ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่า Packet นี้เคยเข้ามาในระบบเครือข่ายหรือไม่ โดยนำข้อมูลของแพ็คเกจเดิมและ Packet ปัจจุบันมาตรวจสอบกัน ซึ่งมีความปลอดภัยกว่าการกรองแพ็คเกจ หรือการตรวจสอบเส้นทางการเชื่อมต่อเพียงอย่างเดียว
ข้อดี : ปิดกั้นและป้องกันการโจมตีช่องโหว่ของ Protocol ได้
ข้อเสีย : ผู้ดูแลระบบต้องมีความรู้เป็นพิเศษเพื่อการกำหนดค่าที่ปลอดภัย
- Application-level Gateway : เป็น Firewall ประเภทที่ตรวจสอบเส้นทางการส่งข้อมูลและเนื้อหาของ Packet ในระดับ Application นอกจากนั้นยังกรองและปิดกันการโจมตีที่มองไม่เห็นบนเครือข่าย OSI Model ได้ และยังสามารถทำหน้าที่แทน Proxy Firewall ได้ในบางครั้ง
ข้อดี : สามารถตรวจสอบและปิดกั้นการโจมตีที่มองไม่เห็นจากเครือข่ายจำลองบน OSI Model ได้
ข้อเสีย : มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องมีการติดตั้ง Proxy สำหรับแอปพลิเคชั่นเครือข่ายทุกตัวที่ใช้งาน
- Next-generation Firewall : เป็น Firewall ที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถรับมือภัยคุกคามที่ซับซ้อน รวมการตรวจสอบเส้นทางเครือข่ายเข้ากับการตรวจสอบ Packet และยังรวมถึง Deep Packet Inspection (DPI) เป็นการรวมรูปแบบของ Packet ที่หลากหลาย รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายอื่นๆ เช่น การตรวจจับ / ป้องกันการบุกรุกการกรองมัลแวร์ และโปรแกรมป้องกันไวรัส โดยฟังก์ชันที่เพิ่มมีความแตกต่างจาก Firewall ทั่วไป คือ การเข้าถึงระดับ Application Layer สามารถแยกการใช้งานของ Application Layer ว่าเป็นการใช้โปรแกรม LINE, Facebook, Youtube หรือเป็นโปรแกรมประเภทอะไร ทำให้สามารถตั้ง Policy เพื่อทำการควบคุมการใช้งาน Application ต่าง ๆ เหล่านั้นได้
ข้อดี : รวมความสามารถของ Firewall ประเภทอื่นและระบบความปลอดภัยอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน สามารถใช้งานได้รอบด้าน
ข้อเสีย : มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องมีการกำหนดค่าโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ Firewall สามารถทำงานบนระบบที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Software Firewall
Software Firewall เป็นโปรแกรมที่ใช้ติดตั้งบน Client หรือ Server โดยสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งได้ และ ยังมีแบบที่เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งมากับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น Windows Defender (ระบบปฏิบัติการ Windows) และ UFW (ระบบปฏิบัติการ Ubuntu) ซึ่ง Software Firewall จะมีข้อดีหลัก ๆ ดังนี้
- มีทั้งแบบฟรี และเสียค่าใช้จ่าย ในราคาที่ไม่แพง
- ติดตั้งได้โดยไม่ต้องติดตั้งพื้นที่ใน Data Center เพิ่มเติม
- ติดตั้งได้ง่าย สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งเองได้ และมีค่า Default ที่สามารถป้องกันพื้นฐานได้ทันที
- ไม่ติดกับ Hardware สามารถลงได้บน Hardware ที่หลากหลาย
Hardware Firewall กับ Software Firewall มีความแตกต่างอย่างไร
จะเห็นได้ว่า Hardware Firewall จะเหมาะสำหรับการปกป้องระบบที่มีความสำคัญ เช่น Server Farm มากที่สุด
แต่กรณีที่เป็น Software Firewall จะเหมาะสำหรับการป้องกันภัยที่เกิดจากการพฤติกรรมการใช้งานของ User ที่มีหลากหลาย ยากแก่การคาดเดา ไม่มีพื้นฐานหรือกฏเกณฑ์ตายตัว ทำให้ตัว Firewall จำเป็นจะต้องปรับตัวได้ และสามารถทำงานร่วมกับ Third Party Solution เช่น Anti-Virus Engine ก็จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สรุป
Firewall เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่จะช่วยให้เครือข่ายที่ใช้งานปลอดภัยมากขึ้น ซึ่ง Firewall แต่ละประเภท ก็จะมีข้อดี-ข้อเสีย ที่แตกต่างกันไป ผู้ที่ต้องการใช้งานอาจจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อการใช้งานที่เหมาะสม หรือสามารถปรึกษาหน่วยงานภายนอกเพื่อที่จะได้กำหนด Solution ให้ตรงกับความต้องการในแต่ละองค์กรได้
ที่มา: wikipedia , forum.overclockzone
บทความที่เกี่ยวข้อง